[ONE SHORT FICTION - CHANBAEK] SOMEWHERE ONLY WE KNOW - [ONE SHORT FICTION - CHANBAEK] SOMEWHERE ONLY WE KNOW นิยาย [ONE SHORT FICTION - CHANBAEK] SOMEWHERE ONLY WE KNOW : Dek-D.com - Writer

    [ONE SHORT FICTION - CHANBAEK] SOMEWHERE ONLY WE KNOW

    ผู้เข้าชมรวม

    173

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    173

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    3
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ธ.ค. 57 / 23:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     
     



    [ EXO - Fiction ]

     

    'ChanBaek'

     

     ...Somewhere only we know...

     

     

     If you have a minute why don’t we go

    Talk about it somewhere only we know?

    ‘Cause this could be the end of everything,

    So why don’t we go

    Somewhere only we know?
     

    - Lilly Allen -

    .

    .

    .

     

     

     


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       
       

      [ EXO - Fiction ]

       

      'ChanBaek'

       

       ...Somewhere only we know...

       

       

       If you have a minute why don’t we go

      Talk about it somewhere only we know?

      ‘Cause this could be the end of everything,

      So why don’t we go

      Somewhere only we know?
       

      - Lilly Allen -

      .

      .

      .

       

       

       

      กาลเวลากำลังเดินไปเงียบๆ เสียงเข็มนาฬิกาเคาะเป็นจังหวะเนิบช้าพอดีกับการก้าวซ้ายขวาของขาทั้งสองข้าง เขาหลุบตาลงต่ำเดินไปยังสถานที่เก่าๆ พยายามยื้อฉุดให้เวลาเดินช้าลงกว่านี้เสียหน่อยแต่สุดท้ายปลายเท้าก็บรรจบลงที่หน้าร้านกาแฟร้านเดิม

       

       

       

      ด้านในร้านดูเงียบสงบเช่นทุกวันแต่หัวใจเขาเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็น ยิ่งสองมือชุ่มด้วยเหงื่อท่ามกลางหิมะแรกของวัน

       

       

       

      แบคฮยอนกลัวเหลือเกิน...

       

       

       

      มือเล็กผลักประตูเข้าไปจนได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งหน้าร้าน พนักงานตรงเค้าเตอร์ยิ้มละไมให้อย่างคุ้นเคย บรรยากาศเก่าๆโลดแล่นเหมือนซีดีที่กำลังเปิดเพลงหวานในร้านกาแฟนี้

       

       

      โลดแล่นไปพร้อมกับความทรงจำของแบคฮยอน... จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับชายหนุ่มคุ้นตา สองขานั้นชะงักกึ่กขึ้นมาทันทียามดวงตาคู่โตตรงหน้าสบกัน

       

       

       

      วันนี้คือวันหิมะแรกของเกาหลี... วันที่หนุ่มสาวชาวเมืองส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการแสดงความรัก

       

       

      หรือกำลังขอความรัก... แบบแบคฮยอน

       

       

       

      เขาเม้มปากแน่น รุดตัวลงตรงหน้า ปาร์ค ชานยอล ที่นั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว แบคฮยอนจ้องลึกลงไปในดวงตาดำขลับ พยายามค้นหาประกายหวานในดวงตาคู่นั้น ซึ่งเพียงไม่นานทุกอย่างจะเปิดเผยเสียหมดเปลือก...แบคฮยอนคิดอย่างนั้น

       

       

      ต่อให้ชานยอลพูด ชานยอลเถียงหรือพยายามอธิบายยังไง สีหน้าของชานยอลไม่เคยโกหกเขาเลยสักนิด

       

       

       

      ถ้าชานยอลมีความสุข.. เขาคนนั้นจะหัวเราะ

       

       

      ถ้าชานยอลทุกข์...เขาคนนั้นจะขมวดคิ้ว

       

       

      ถ้าชานยอลรักแบคฮยอน...เขาคนนั้นจะยิ้ม

       

       

       

      แต่ในตอนนี้ทุกอย่างเป็นเส้นตรง ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง ปากหยักเม้มแน่น ดวงตานั้นช่างว่างเปล่า เห็นดังนั้นแล้วชีพจรหัวใจของชานยอลคงเรียบตรงไม่ต่างกัน

       

       

      ไม่มีจังหวะระทึก ไม่มีเสียงระส่ำ ...เยี่ยงคนไร้หัวใจ

       

       

       

      “ ชานยอล... นายอยากดื่มอะไรหรือเปล่า? เดี๋ยวฉันสั่งให้...เอามั้ย? ” เขากำมือแน่น พูดประโยคยาวเหยียดทั้งที่มันเป็นประโยคง่ายๆแต่หัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บปวด

       

       

      “ ไม่ละ นายมีธุระอะไรก็มาว่า ” คนตรงหน้าเสียงแข็ง ทั้งที่เขาเตรียมใจไว้แล้วต้องพบเจอกับอะไร

       

       

      แค่นึกน้ำตาก็รื้นขึ้นมา... จึงได้แต่นั่งก้มหน้าหลบสายตาอยู่ร่ำไป

       

       

      “ เราเลิกกัน..ได้ไหม? ” เพราะวันนี้เป็นวันดีที่เขาจึงนัดอีกคนออกมา...

       

       

      หิมะแรกกับการขอรักแรก...คืนกลับ

       

       

      เขายังคงก้มหน้า ไม่สบตาคนตัวโต ทั้งเกรงและกลัว... เกรงว่าอีกคนจะไม่พอใจกลัวว่าอีกคนจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าเราจะไม่เลิกกัน ทั้งที่สัญญามั่นหมายไว้เป็นอย่างดีว่าเราจะไม่เอาเหตุผลงี่เง่ามาทำร้ายตัวเอง...

       

       

      แต่คำว่าห่างกันสักพักของชานยอลก่อนหน้านั้นมันก็เหมือนเลิกไม่ใช่หรอ...?

       

       

      สู้เราเลิกกันไปมันจะไม่ดีกว่าหรือ...?

       

       

       

       “ เราเลิกกันเถอะชานยอล ” เป็นอีกครั้งที่เขาย้ำ ขณะที่อีกคนนิ่ง สายตาหลุบต่ำลอบมองมือสองข้างนั้นไม่ไหวติง

       

       

      ชานยอลอาจจะไม่มีความรู้สึกจริงๆก็ได้...

       

       

      “ แล้วแต่นายสิ ฉันยังไงก็ได้ ” เขาได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกฝ่ายผะแผ่ว แต่คงดังกว่าเสียงหัวใจเขาเองอยู่ดี

       

       

       

      เขาเงยหน้าขึ้นราวกับได้รับอนุญาตแล้วจะผู้สูงศักดิ์ แต่ชานยอลก็เหมือนผู้สูงศักดิ์จริงๆนั่นแหละเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขานับถือชานยอลยิ่งกว่าเจ้าชีวิต ทำทุกอย่างให้อีกคนพอใจสารพัด และรักจนหมดหัวใจ

       

       

      หากแต่นับวันความรักนั้นกลับหดหายเหมือนถูกลืนไปในหลุมดำ ชานยอลเทคแคร์ดูแลเขาก็จริง การกระทำที่เหมือนรักกันตลอดสี่ปีที่ผ่านมาต่างทำให้ใครหลายคนที่รู้จักเราอิจฉา แต่นับวันเข้าเขาไม่อาจสัมผัสความรู้สึกเหล่านั้นได้เลย

       

       

      เราเหมือนเล่นละครฉากใหญ่ตบตาสังคม

       

       

      การกระทำเพียงผ่านของชานยอลแสดงว่าคงไม่อยากทนอยู่ตรงนี้นานนัก.. เขารู้ดี

       

       

       

       “ ชานยอล... ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจ ” อยู่ดีๆแบคฮยอนคนนี้ก็กล้าพูด ทั้งที่ตั้งใจแค่เดินเข้ามาเพียงบอกลาเท่านั้น หากแต่หัวใจเจ้ากรรมยังคงต้องการคนตรงหน้าไม่น้อย.. ทั้งที่เป็นคนบอกเลิกแต่ทำไมเขายังอยากเห็นชานยอลอยู่ตรงนี้

       

       

      พูดเองก็เจ็บเอง... เขาไม่เข้าความรู้สึกตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากร้องไห้ออกมา ต่อให้น้ำตาไม่ได้หยดลงพื้นสักหยดแต่ลึกๆแล้วตอนนี้เหมือนแบคฮยอนกำลังจมลงไปในแอ่งน้ำขนาดใหญ่

       

       

       “ นายพูดจบแล้วใช่มั้ย? ” บทสนทนาถูกตัดฉับคล้ายมีใครลงมีดตรงกลางใจ

       

       

      สองมือเย็นชื้นวางทับมือใหญ่คล้ายกุมกันไว้ เขาไม่ได้บีบแน่น มันเป็นสัมผัสบางเบาเพื่อให้รั้งชานยอลไว้เท่านั้น

       

       

      “ นายโกรธฉันใช่มั้ย.. ฉันจะโกรธกันก็ได้แต่อย่าทำอย่างนี้เลยชานยอล เราเลิกกันเราก็กลับเป็นเพื่อนกันได้นะ... ฉันขอร้อง ” ยิ่งเขาเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า วินาทีถัดมาเขาแถบกลืนคำว่าเลิกกันลงคอ เขาไม่น่าพูดออกไปแม้แต่พยางค์เดียว

       

       

      เขาแค่ยังรักแต่เขาก็รู้ตัวว่าความรักที่เรามีมันคงไม่พอ... เขาผิดมากใช่ไหมที่พูดมันออกมา

       

       

      “ ฉันไม่โกรธนายหรอกแบคฮยอน... ฉันไม่เคยโกธนายเลย... นายเข้ามาขอฉันเป็นแฟนนายก็ต้องเป็นคนขอเลิก... มันถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ ” เสียงทุ่มเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆหรือจริงๆชานยอลกำลังรู้สึกมากเกินจนไม่รู้จะพูดมันยังไง

       

       

      เหมือนเขาที่นั่งเงียบในตอนนี้... เงียบเพื่อฟังเสียงหัวใจตัวเอง

       

       

      “ ฉันมันไม่มีค่าพอสำหรับคำว่ารักของนายสินะ... ” ระหว่างเราตอนนี้มีแต่ความอึดอัด สายตาเย็นชาทิ่มแทงไปทั่วร่าง

       

       

       

      เขาจมอยู่กับความคิดในหัว ทบทวนความรู้สึกที่มี ... เขายังคงรักชานยอล แล้วที่เขาขอเลิกชานยอลก็เพราะถ้าเรากลับไปเป็นเพื่อน.. กลับหันมาดูแลความรู้สึกกันอีกครั้งหรือทบทวนการกระทำที่เคยละเลยกัน เพื่อเก็บเกี่ยวความรักที่ถูกหลงลืมไปบ้าง ...ทุกๆอย่างนั้นอาจดีขึ้น

       

       

      เพราะเราจะรู้ว่าสิ่งใดมีค่าก็ต่อเมื่อเราสูญเสียมันไป...

       

       

      เขาอยากให้ชานยลเห็นค่าเขาบ้าง

       

       

      หากแต่ความคิดย่อมเป็นเพียงแค่ความคิด ผลลัพธ์สุดท้ายคือการมองอีกคนเดินจากไปเสียจนลับตาโดยที่ไม่หวังให้หันหลังกลับมา

       

       

      อย่าได้ให้ชานยอลเห็นคนขี้แพ้ตรงนี้เลย.. แบคฮยอนละอายแก่ใจเกินจะทน

       

       

      เขาแค่อยากให้ชานยอลเข้าใจ... ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักชานยอล  

       

       

      .

       

      .

       

      .

       

       

      ตอนนี้แบคฮยอนกำลังภาวนาให้วันนี้เป็นวันที่ดีถึงแม้บรรยากาศหม่นแสงนั้นมีฝนเม็ดน้อยใหญ่แข่งกันร่วงหล่นจากฟากฟ้าสีครามแสนสวย

       

       

       

      เขายืนตรงริมหน้าต่างเหมือนทุกวัน ยืนดูบรรยากาศเดิมๆจากมุมเดิมๆรอคนเดิมๆ...ให้กลับมา

       

       

       

       สายตาเลื่อนทะลุผ่านกระจกใสทอดมองก้อนสีดำขมุกขมัวอยู่เบื้องบน หยดหยาดฝนโปรยลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจเป็นเพียงกลุ่มก้อนเล็กที่แบกๆความหวังอย่างหนักอึ้ง จนผิวกายรับรู้อากาศเย็นจัด

       

       

       เขาเหม่อมองด้วยสายตาเลื่อนลอยไม่จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษอย่างที่ใจนึก ภายใต้ความมืดที่ว่างเปล่าเขาเห็นเพียงเม็ดฝนนับพันที่กระทบบานหน้าต่างใส

       

       

      ละอองน้ำเกาะติดบานกระจกเป็นฝ้าจางๆเลือนภาพชายผู้หนึ่ง . ..  ที่กำลังเดินจำอ้าวเข้ามาภายในตึกอย่างรีบร้อน

       

       

      ใครบางคนกำลังเดินมายังที่ๆหนาวเย็นแห่งนี้. .. เขารู้สึกได้

       

       

      แบคฮยอนจึงยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อการเฝ้ารอสิ้นสุดลง เขาเดินไปที่หน้าประตูเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ

       

       

      คนๆนั้นคือเจ้าของบ้านตัวจริง... บ้านที่มีเพียงชื่อแบคฮยอนเป็นเจ้าของแต่ชานยอลกลับจับจองพื้นที่ทุกตารางนิ้วหวังเป็นที่จดจำในสายตา

       

       

      เขารู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังยืนรอให้เขาเปิดประตูอยู่ ถึงแม้ชานยอลจะดูลังเลที่จะไขกุญแจเข้ามาเองเหมือนทุกทีเพราะหลังจากที่เราทะเลาะกันใหญ่โตหลังจากครานั้นชานยอลก็ไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย

       

       

      ชานยอลคงไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาหรือด้วยเหตุผลใดๆนั้นไม่อาจทราบแต่สุดท้ายเขาก็เห็นอีกคนเดินเข้ามา

       

       

      ถึงใบหน้าคมเข้มนั้นจะดูอิดโรย ถึงชานยอลดูเหนื่อยกว่าที่เคย แต่ร่างสูงยังคงยืนยิ้มให้กันอยู่ตรงหน้า เขามองดูชานยอลก้มๆเงยๆเก็บรองเท้าที่วางระเกะระกะให้พ้นหูพ้นตา

       

       

      ไม่รู้เหมือนกันว่าชานยอลจะเสียเวลาอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ทั้งที่เขาอยากให้อีกคนเข้ามากอดเหมือนทุกทีที่เราเจอกัน ไม่ต้องทำดีให้กันเสียมากมาย ขอแค่ให้เราเป็นกำลังใจให้กันและกันคงเพียงพอ

       

       

      นับจากวันนั้นเขาทำเพียงเฝ้าโทรศัพท์เพื่อกดรับสาย ทั้งที่ส่งข้อความเป็นสิบๆรอบแต่คนใจร้ายไม่เคยตอบกลับสักครั้ง

       

       

      เขารู้แล้วว่าเขาไม่อยากได้อะไรเลยจากชานยอล...เพียงแค่มีอีกคนอยู่ใกล้ๆในสายตา

       

       

      ... ไม่คิดถึงกันหรือไง?  นี่คงเป็นคำถามที่เขาอยากถามออกไปมาที่สุด

       

       

      คนตัวโตไม่ตอบ เอาแต่เดินหนีเขาไปยังโซฟา ทิ้งกายลงเบาะนุ่มจนได้ยินเสียงเอียดอาด เนคไทสีดำถูกปลดออกทันทีด้วยความอึดอัด  ชุดสูทสีดำถูกวางบนพนักโซฟาข้างๆ

       

       

      เสียงถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อมีเพียงความเงียบของเรา ชานยอลหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาทิ้งตัวให้จมลงตามอีกคน ทิ้งความคิด ความรู้สึกไว้ยังสักที่แต่ไม่พ้นเรื่องคนใกล้ตัว

       

       

      เขาได้แต่นั่งมองซีกหน้าซีดขาวไร้การแต่งแต้มความสุขใดๆ ทั้งที่เมื่อก่อนเราจะทักกันด้วยการกอด พูดและหยอกล้อทุกวันด้วยสียงขบขัน และใบหน้าของชานยอลจะขึ้นริ้วแดงๆเหมือนเขาเช่นกัน

       

       

      แต่วันนี้... ชานยอลไม่พูดเขาก็ไม่พูด

       

       

      เพราะเราทะเลาะกันเสียใหญ่โต... เขาคงยังโกรธไม่หาย

       

       

      แต่ดีแค่ไหนที่ชานยอลกลับมา.. กลับมาหาแบคฮยอน...

       

       

       

      " ชานยอล. .. " น้ำเสียงแผ่วเบาไม่อาจทำให้คนตรงหน้ารู้สึกได้

       

       

      เขาจะทำอย่างไรให้เสียงดังกึกก้องเหมือนในหัวที่กำลังร่ำร้อง. ..เขาต้องทำอย่างไร

       

       

      ตอนนี้หมัดในมือกำลังสั่นคลอน พร้อมจะยกมันขึ้นและชกเขาแรงๆตรงกลางอก

       

       

      ให้เขารู้สึกอย่างที่ควรรู้สึก ให้ชานยอลเจ็บอย่างที่เขาเจ็บ... แต่แบคฮยอนทำไม่ได้

       

       

      เพราะถ้าชานยอลเจ็บเขาจะเจ็บกว่า... มันน่าสมเพชสิ้นดี

       

       

       

       

      และเหมือนชานยอลจะรู้ แขนข้างหนึ่งของเขาพาดไว้บนพนักพิงอย่างอ่อนแรงกลายเป็นว่าแบคฮยอนคนนี้กำลังถูกโอบกลายๆ เขาค่อยๆแนบลำตัวเข้าหาชานยอลช้าๆเพราะเกรงว่าอีกคนจะไม่พอใจ

       

       

      เขาเอียงตัวเข้าหาชานยอลเพื่อถ่ายเทความอบอุ่น ดูท่าชานยอลจะไม่ปฎิเสธอ้อมแขนเล็กๆนี้เมื่อมันค่อยๆรัดเขาแน่นขึ้น

       

       

      ต้องเป็นเขาสินะที่ต้องเริ่มก่อน  แบคฮยอนคนนี้สินะที่ต้องยอมถอยห่างเพื่อลดระยะทางของเรา

       

       

      เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่เริ่มจากตรงไหน... แต่เพราะเขาทำผิดเขาต้องรับผิดชอบ

       

       

       

      “ ฉันขอโทษนะ...  ” นั่นคงเป็นคำกล่าวที่ดีที่สุดในเวลานี้เมื่อนึกถึงวันที่เราทะเลาะกัน... วันนั้น..

       

       

      .

       

      .

       

      .

       

       

       

      สำหรับชานยอลแล้วจะฆ่าเขาทิ้งหรือตัดเขาออกจากชีวิตแบคฮยอนไปเสียเลยคงดีกว่ามองดูตัวเองถูกลดความสำคัญลงอย่างน่าไม่อาย

       

       

      เขาที่เคยแต่ได้ เขาผู้ไม่เคยมีความรักจริงๆจังๆเสียจนกระทั่งเจอแบคฮยอน  แบคฮยอนผู้ไม่เคยมีทีท่ารักเขาน้อยลงสักนิด

       

       

      หรือแบคฮยอนอาจจะเหนื่อยเกินไป...

       

       

      เขารู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นในสักวันสำหรับคนไม่เห็นค่าความรักอย่างเขา..สักวันความรักของแบคฮยอนย่อมหมดลงไปแต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าในเมื่อทุกคนต่างหยิบยื่นสิ่งล้ำค่าให้เขามากมายรวมถึงความรักด้วยเช่นกัน

       

       

      ทั้งที่ทำเป็นใจแข็งเดินผละออกมา แต่เอาเข้าจริงเขาแค่ไม่อยากเห็นแบคฮยอนเดินจากเขาไป

       

       

      หลังจากวันนั้นถึงแม้เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันเพราะอีกคนร้องขอให้เรากลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิม...บ้านจึงเหมือนโครงสร้างเก่าๆทั้งที่ภายนอกสมบูรณ์แบบดีทุกอย่าง เขายังอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะถ้าเขากลับมาเขาจะเจอแบคฮยอน

       

       

      บ้านหลังนี้คือสิ่งแรกหากต้องนึกถึง ในเรื่องของแบคฮยอนรวมถึงความทรงจำของเราคล้ายเป็นยารักษาแผลใจเพียงตัวเดียวถูกบรรจุอยู่ในบ้านหลังนี้ทั้งหมด

       

       

       

      รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความเศร้า .... หยาดน้ำตา...

       

       

       

      แต่นับจากนั้นใครจะรู้ว่าแบคฮยอนไม่ได้กลับมาอีกเลย..แบคฮยอนตัดเขาออกจากชีวิตไปตลอดกาล

       

       

      ในวันนี้เขาจึงยืนอยู่ตรงบานประตูบานเก่า ประตูหน้าบ้านถูกสลักชื่อเจ้าของอันเป็นที่รักไว้ด้วยฝีมือของเขาเอง มือหนาสัมผัสเนื้อไม้ที่ถูกแกะจนกลายเป็นตัวอักษรสวยงามว่า Baekhyun เขาร่ายมือไปทั่วราวกับจะสัมผัสถึงตัวตนคนในห้องนั้น

       

       

      เมื่อไรกันที่เวลาดูเนิบช้ากว่าทุกที... นานนับนาทีกลายเป็นชั่วโมงจนเกือบแรมเดือน

       

        

      ...หลังจากเกิดเรื่องขึ้น

       

       

      เราอยู่ด้วยกันด้วยเสียงตะโกนข้ามหัวกันไปมา บ่อยครั้งมีปากเสียงกันใหญ่โต ไม่เคยให้เกียรติหรือเห็นใจกันแม้แต่น้อย เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเก่ากุเท่าทีหัวสมองจะจดจำซึ่งมันคือทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องไม่เป็นเรื่อง  เส้นสติขาดพลึงในทันทีด้วยอารมณ์เดิมๆ เหตุผลเดิมๆ...

       

       

      เขาเค่นยิ้มให้ตัวเองถึงความผิดในใจพร้อมกับกล่าวขอโทษซ้ำๆก่อนจะผลักสิ่งที่กั้นเขากับอีกคนไว้บนโลกใบนี้

       

       

      ขายาวก้าวผ่านทางเดินไปช้าๆ มองดูรองเท้าคู่เล็กหลายคู่เรียงรายไม่เป็นระเบียบนัก เขาก้มเก็บมันเข้าตู้ทั้งที่ไม่เคยทำแต่วันนี้เขาจะทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำให้แบคฮยอน

       

       

       

      ‘ ทำไมมาช้าจริง ’ เสียงเง้างอดยังคงดังก้อง ถ้าอยู่ตรงนี้นานอีกหน่อยคงได้ยินอีกคนพูดว่า คิดถึง เป็นแน่

       

       

      ‘ นายกลับมาแล้วหรอ ’ เขาได้ยินเสียงแว่วมาจากที่ไกลๆ คนตัวเล็กอาจซุกซ่อนอยู่ในห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น หรือห้องๆหนึ่งในความทรงจำ

       

       

       

      เขาทรุดตัวลงหวังจมไปกับโซฟา ให้ความนุ่มของเบาะหนังรองรับสมองอันหนักอึ้งคล้ายบรรเทา... นานเกือบเดือนที่เขาไม่ได้ย่างกายเข้ามาที่นี่นับตั้งแต่วันที่แบคฮยอนตายจากไป

       

        

      บ้านหลังนี้เป็นเหมือนอดีตตอกย้ำความผิดทั้งชีวิตชานยอล

       

       

      เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เฝ้าฝันถึงวันวานเก่าๆเหมือนเด็กเล็ก จินตาการถึงความงามที่เคยสัมผัส ยิ้มรับไออุ่นจากอ้อมกอด

       

       

      มันน่าเศร้าเมื่อทุกอย่างถูกดึงรั้งไว้ในอดีต... เขาทำได้แค่ฝันถึง

       

       

      เขาลุกขึ้นเดินด้วยเรี่ยวแรงสุดท้ายไปยังห้องของแบคฮยอน...

       

       

      ภาพของคนตัวเล็กที่ว่านอนขดคู้อยู่บนเตียงกว้าง ดวงตาเรียวปิดสนิท แพรขนตาสวยฉ่ำน้ำ ปรางแก้มนิ่มช้ำไปด้วยคราบน้ำตา จมูกรั้นเชิดแดงก่ำ  ฟันซี่เล็กขบกัดริมฝีปากที่เม้มแน่น

       

       

      และไม่นานพื้นที่เตียงค่อยๆยุบตัวลง เขาพยายามทำทุกอย่างเท่าที่เขาสามารถจะทำได้ทั้งๆที่แบคฮยอนจะไม่มีวันรับรู้เลย

       

       

      เขาใช้หลังมือขาวสัมผัสใบหน้าอย่างแผ่วเบา เลือนลอยและเลือนลางดั่งภาพตรงหน้าไม่มีความชัดเจนให้ได้สัมผัส. ..

       

       

      ช่างยากเย็นที่จะเก็บกักความคิดถึงในใจจนเผลอแสดงออกไปทั้งๆที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้

       

       

      ทั้งๆที่รู้ว่าแบคฮยอนคงไม่ต้องการแล้ว ..

       

       

       

      “ ฉันขอโทษนะแบค... ฉันขอโทษ... ” เขากำลังเห็นใครบางคนนอนหนาวสั่นให้เขาเช็ดคราบน้ำตาแห้งกรั่งที่ติดค้างบนแก้มแดงช้ำ ปลายนิ้วเผลอขูดไปตามรอยแห้งแตก

       

       

       

      เขาชักมือกลับเมื่อหยาดน้ำตากระทบหลังมือกร้าน. .. มันคือน้ำตาเขาเอง

       

       

      ร่างสูงผละออกจากเตียงนุ่มที่เคยมีใครบางคนนอนหลับสนิทไม่รับรู้สิ่งใด ...มันคือภาพสุดท้ายที่เราทะเลาะกันก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น

       

       

      ภาพที่เห็นเป็นเพียงฝันทำให้เขาตื่นขึ้นเผชิญความจริง...ที่ตรงนี้ไม่มีแบคฮยอนอีกต่อไป

       

       

      ไม่มีแบคฮยอนให้ตระครองกอด ที่ตรงนี้ หลงเหลือเพียงความว่างเปล่าเป็นช่องโหว่กลางใจชานยอล ก่อนจะดึงผ้าห่มซึ่งกองอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นมาคลุมผืนเตียงอันอบอุ่นแทนอ้อมกอดที่เขาอยากจะมอบให้

       

       

      เขาเหลือบขึ้นมองเชือกสีขาวมัดปมแน่นบนคานไม้แน่นหนา การตกแต่งสวยหรูสร้างโศกนากกรรมแสนเศร้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาปีนขึ้นเตียงหนานุ่ม จับเชือกสีขาวเส้นเดิมมัดเป็นวงก่อนที่มันจะถูกคลายออกเพราะเขาเอง...

       

       

      ถึงแม้สมองพยายามนึกภาพลมหายใจขาดรอน สมองไม่เคยคิดจะลืมอาการดิ้นทุรนทรายของแบคฮยอนยามเชือกเหนือหัวรัดคอจนแน่นเพื่อยั้งความคิดตัวเอง

       

       

      แต่ที่ตรงนั้นคงอบอุ่นกว่าหัวใจแสนเย็นชาดวงนี้เป็นแน่...

       

       

       

      .

       

      .

       

      .

       

       

       

      ชานยอลเดินออกไปแล้ว เขาได้ยินเสียงบานประตูถูกปิดสนิทดังเดิม   เขาได้ยินเสียงกระเทาะจากภายใน หัวใจหวาดหวั่นเมื่อภายใต้เปลือกตามีหยาดน้ำใสเจิ่งนองสั่นระริก

       

       

      ดั่งก้อนน้ำแข็งทิ้งหยาดเหงื่อความเหนื่อยล้า

       

       

      ร่างกายที่แน่นิ่งแต่ในใจนั้นสั่นสะท้านเพียงใดไม่อาจเอ่ยบอกเหมือนกำลังมีบางอย่างเติบโตภายใต้แผ่นดินน้ำแข็งที่เขายืนอยู่...

       

       

      ใครบางคนกำลังเดินมายังที่ๆหนาวเย็นแห่งนี้. .. เขารู้สึกได้

       

       

      เขาละสายตาทัศนียภาพเบื้องหน้าที่ดูสวยงามแต่เหมือนซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง ย้ำก้าวไปที่บานประตูใหญ่ ด้วยความรู้สึกเดิมๆ ด้วยสายตาคู่เดิม. ..อย่างเลื่อนลอย

       

       

      ร่างกายนิ่งชาคล้ายลมหายใจขาดห้วงเพียงเสี้ยววินาที ภูเขาน้ำแข็งค่อยๆยุบตัวลงจนพังทลายในที่สุด. .. ประตูบานใหญ่ค่อยๆแง้มออก ดวงตาเป็นประกายดั่งแสงตะวันกำลังหลอมก้อนหัวใจอันเยือกเย็น

       

       

       

      " ชาน. .. "  เพียงแค่เสี้ยวนาทีไออุ่นจากสัมผัสทาบทับหัวใจเย็นเหยียบ ...เพียงแสงตะวันส่องไปทั่วสถานหนาวเย็น

       

       

       

      เพียงปลายนิ้วสัมผัสกลับเรียกความรู้สึกข้างในจนตีรวน 

       

       

      ผืนน้ำแข็งนั้นค่อยๆปริแยกเป็นเศษซากความหนาวเย็น

       

       

      ความเจ็บปวดในหัวใจที่ค่อยๆแตกออกเป็นเสี่ยงๆ... ก้อนน้ำแข็งมหึมาจมลงสู่ท้องมหาสมุทร

       

       

      เพียงแค่เห็นชานยอลก้าวนำเขาเพียงเล็กน้อยบนธารน้ำแข็งที่ค่อยๆปริแตก แผ่นหลังหนาช่างอบอุ่นจนอยากจะแนบกายให้ความหนาวเย็นได้หายไป เพียงแค่เอื้อมมือจะสัมผัสกลับร้อนรุ่มดั่งถูกแผดเผา

       

       

      สุดท้ายได้แต่ปล่อยให้หยาดน้ำใสแนบผิวแก้มจนสั่นเครือ. ..

       

       

      แต่เมื่อฝีเท้านั้นหยุดลง . ..นัยตาสีหม่นมองเขาด้วยหัวใจโหยหา. ..

       

       

      เมื่อโลกหยุดหมุน... โลกของเราก็เหมือนจะกลับมาหมุนวนอีกครั้ง

       

       

      ไอเย็นจากแห่งใดสักแห่งโชยกลิ่นหอมคละคลุ้ง อุณหภูมิเย็นเฉียบจนเขาเผลอแนบแขนชิดลำตัวกอดร่างบอบบางไว้หลวมๆ

       

       

      ดวงตาเรียวสำรวจข้าวของภายในอย่างสนใจ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม รูปใบเก่าตั้งวางตามชั้นหนังสือ ทุกอย่างดูท่าจะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนนับตั้งแต่วันนั้น

       

       

      ภาพฝันแบคฮยอนหมุนวนอีกครั้ง....

       

       

       

      เพียงแค่เห็นชานยอลก้าวนำเขาเพียงเล็กน้อยบนธารน้ำแข็งที่ค่อยๆปริแตก แผ่นหลังหนาช่างอบอุ่นจนอยากจะแนบกายให้ความหนาวเย็นได้หายไป เพียงหวังจะเอื้อมมือเพื่อสัมผัสกลับร้อนรุ่มดั่งถูกแผดเผา

       

       

      สุดท้ายได้แต่ปล่อยให้ หยาดน้ำใส แนบผิวแก้มจนสั่นเครือ. ..

       

       

      แต่เมื่อฝีเท้านั้นหยุดลง . ..นัยตาสีหม่นมองเขาด้วยหัวใจโหยหา. ..

       

       

       

      และถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย..

       

       

       

      " . .. ฮึก . .. นายกลับมาแล้ว . ..จริงๆ..ฮึก... " ขาทั้งสองข้างที่เคยมีเรี่ยวแรงพลันทรุดฮวบ คำถามมากมายจุกเพียงในอก เขาไม่อาจเปิดปากพูดพร้อมกับสายน้ำแห่งความทรมานนี้ได้

       

       

      เสียงร่ำไห้ไม่อาจหยุดลงเพียงเพราะมือน้อยนั้นพยายามห้ามมัน  เขาเองไม่อาจห้ามหัวใจไม่ให้เจ็บปวดได้เช่น

      เดียวกัน เขาไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งหยุดน้ำตานี้ให้เลิกไหลเสียที

       

       

      สิ่งเดียวที่แบคฮยอนทำได้คือ. .. คุ้นชินกับความเจ็บปวดให้มากที่สุด

       

       

       

      " สบายดีไหม. .. " ทุ้มเสียงแผ่วเบากระตุ้นก้อนเนื้อหัวใจเต้นแรง คำถามง่ายๆแต่เขากลับไม่กล้าสบตาและบอกคำตอบตรงๆว่า เขายังคงสบายดี

       

       

      กลัวว่าจะเป็นเพียงฝัน..  แต่ไม่ใช่

       

       

      "  นายเหงาหรือเปล่า. .." คนถูกถามเผลอเงยหน้าขึ้นมอง เขาไม่รู้ว่าแววตาที่สบกันนั้นทำให้ให้คนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร ทำไมแววตาคมจึงดูหวาดหวั่นแต่ใบหน้ายังคงปิดบังเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆต่อกัน

       

       

       

       เขาจึงรุดใบหน้าก้มต่ำอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าพร้อมผุดรอยยิ้มจางให้ที่คนลอบมองมั่นใจมากขึ้น

       

       

       

      “ ขอโทษนะ... ” ชานยอลทรุดตัวนั่งโอบรอบตัวเขาไว้หลวมๆ ร่างเล็กห่อไหล่หลบหลีกความหนาว ทุ้มเสียงสั่นเครือสะท้านไปทั้งร่างกาย จนเสียงสะอื้นนั้นหนัก แรงกอดจึงแน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

       

       

      “ ฉันคิดถึงนาย...แบคฮยอนฉันขอโทษ ” น้ำเสียงแห้งผากแผดร้องดังก้องแข่งกับร่างที่สั่นไหว ในทุกๆวันเขาที่เขาร้องไห้มีเพียงเสียงหัวใจทีเต้นถี่เท่านั้นที่รับรู้ถึงการจากลาแสนเจ็บปวด

       

       

       

      ความทรมานเจียนขาดใจไม่มีใครรับรู้ถึงมัน แต่วันนี้... ชานยอลรับรู้มันแล้ว...

       

       

       

      “ เรากลับมาอยู่ด้วยกันนะแบคฮยอน... ฉันขอโทษ... ฉันจะยอมให้นายทิ้งฉันไปไหนอีกแล้ว ” ดั่งร่างกายได้ถูกปลอดปล่อยเมื่อหัวใจแสนอ่อนล้าว่ายวนอยู่ในความทรงจำ

       

       

       

      เมื่อหัวใจกำลังอ่อนล้าลงทุกที แล้วหัวใจดวงน้อยนี่อีกจะสร้างความทรมานให้เขาไปอีกนานเท่าไร ทำไมถึงเรียกร้องหาความอบอุ่นจากเจ้าของที่ทิ้งกันอยู่ร่ำไปอีกครั้ง

       

       

       

      ทั้งๆที่รู้ว่าชานยอลคงไม่มีวันหยิบยื่นให้ได้ ...

       

       

      ซึ่งตัวเขาเองไม่คิดว่าจะมีวันนี้. ..

       

       

      วันที่เรากลับมารักกัน...

       

       

       

      .

       

      .

       

      .

       

       

       

      The End

       

       

       

      เรื่องี่แล้วพี่ชานตาย.. นี่ก็สงสารTT

      ก็เลยจบแบบนี้น่าจะแฟร์ดี ..หรือเปล่า?

       

      มีอะไรก็ @anndinamixcriJ นะคะ

       

      Thank you :)

       

      ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ ทั้งคอมเม้ท์ ยอดวิว คนอ่าน

       

      เพลงประกอบหลักคือ Somewhere only we know ver. Lilly Allen 

      เพลงบันดาลใจคือ spoiler แลพ happen ending ของ Epik high 

       

       


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×